the difference oil for skin

น้ำมันสำหรับผิวที่แตกต่างกัน เราควรเลือกใช้อย่างไร?

น้ำมันสำหรับผิวเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน?!? อย่าเพิ่งตกใจนี่ไม่ใช่ชื่อ single ใหม่ของวงชื่อดังแต่อย่างใดค่ะ แต่วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟังว่าเหล่าบรรดาน้ำมันทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันนวดตัว น้ำมันหอมระเหย หรือน้ำมันธรรมชาติจากพืช ฯลฯ ทั้งหมดที่ว่ามานี้ล้วนแตกต่างกัน

น้ำมันสำหรับผิวทุกชนิดต่างมีรายละเอียดและการใช้งานที่แตกต่างกัน น้ำมันหลายชนิดมักจะก่อให้เกิดสิวและปัญหาผิวตามมาเสมอ วันนี้เวอร์น่าอยากให้ทุกคนเข้าใจว่าน้ำมันที่เรามักได้ยินบ่อยๆ นั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร…

the difference oil for skin

น้ำมันนวดสำหรับผิว

ประโยชน์หลักๆ ของน้ำมันนวดคือเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ บรรเทาอาการปวดเมื่อยจากการดำเนินชีวิตประจำจากบริเวณที่ใช้กล้ามเนื้อซ้ำๆ โดยปกติแล้วน้ำมันนวดจะใช้ในการนวดผิวและส่วนผสมหลักของน้ำมันนวด คือ “น้ำมันแร่” หรือ Mineral Oil น้ำมันแร่ เป็นน้ำมันที่มีแหล่งผลิตจากไฮโดรคาร์บอน เป็นน้ำมันที่ร่างกายดูดซึมไม่ได้ และไม่ควรนำมาใช้เป็นส่วนผสมของอาหาร เพราะจะทำให้วิตามินที่ละลายได้ในไขมันไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย อาจทำให้ร่างกายขาดวิตามินเหล่านี้ได้ นั้นจึงเป็นคำตอบที่ชัดเจนว่า ทำไมน้ำมันชนิดนี้ไม่สามารถดูดซึมทางผิวหนังได้ แถมยังไม่ช่วยในการบำรุงผิวของคุณเลย ยิ่งไปกว่านั้นเราไม่แนะนำให้ใช้น้ำมันชนิดนี้บนผิวนานเกินไปเพราะอาจทำให้เกิดสิวอุดตันได้ ต้องล้างออกหลังการนวดเสร็จทุกครั้ง 

น้ำมันหอมระเหย

น้ำมันหอมระเหยพื้นเพดั้งเดิมเป็นสารอินทรีย์ที่พืชผลิตขึ้นตามธรรมชาติ เก็บไว้ตามส่วนต่างๆ เช่น กลีบดอก ผิวของผล เกสร ราก เปลือกของลำต้นหรือยางที่ออกมาจาก มีองค์ประกอบทางเคมีที่สลับซับซ้อนและแตกต่างกันนับสิบร้อยชนิด แต่ในปัจจุบันอุตสาหกรรมส่วนมากเกือบ 90% มันจะใช้น้ำมันหอมระเหยที่มาจากสารเคมี และจริงๆ แล้วในทางเทคนิคและวิทยาศาสตร์ น้ำมันหอมระเหย “ไม่ใช่น้ำมัน” เป็นเพียงของเหลวเข้มข้นจากพืช ซึ่งส่วนใหญ่ไม่สามารถใช้กับผิวหนังได้โดยตรง ตามปกติแล้วจะต้องเติมน้ำมันหอมระเหยลงในโลชั่น ครีม หรือน้ำมันธรรมชาติจากพืช ก่อนนำไปใช้ มิฉะนั้นจะทำให้ผิวหนังไหม้ได้ จนเกิดรอยช้ำและต่างดำได้ และเวอร์น่าขอบอกไว้ก่อนเลยว่า รอยพวกนี้รักษายากมากๆ และใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน – 1 ปี กว่าจะหายสนิท

น้ำมันจากพืช (น้ำมันธรรมชาติ)

น้ำมันที่ใช้บ่อยที่สุด คือ น้ำมันกลั่นและน้ำมันสกัดเย็น ซึ่งมีวิธีการสกัดน้ำมันที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ เช่น ใช้เป็นอาหารหรือใช้บำรุงผิว น้ำมันจากพืชมีมากมายหลายชนิดมากค่ะ น้ำมันแต่ละชนิดมีเนื้อสัมผัสและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาด้วยสัดส่วนที่สมบูรณ์แบบของน้ำมันคุณจะพบว่าน้ำมันสามารถใช้ได้กับทุกส่วนของร่างกาย และนั่นคือ … Multipurpose-Oil จากเราซึ่งผสมกับน้ำมันดิฟเฟอร์เน็ต 5 ชนิดนั่นเอง เราจะมาเล่าให้ฟังอย่างละเอียดว่า น้ำในส่วนผสมหลักจากน้ำมันดิฟเฟอร์เน็ตทั้ง 5 ชนิด ของเรานั้นให้คุณสมบัติอะไรกันบ้าง? 

 

มาเริ่มกันที่ Jojoba Oil! ถ้าอ่านตามภาษาอังกฤษหลายคนก็มักจะอ่านว่าโจโจ้บาออยล์ แต่ความเป็นจริงแล้วนี่คือภาษาสเปนค่ะ! ดังนั้นการออกเสียงที่ถูกต้องควรออกเสียงว่า “โฮโฮบา ออยล์” Jojoba Oil เป็นน้ำมันที่ได้จากเมล็ดต้นโฮโฮบา ไม้พุ่มที่มีถิ่นกำเนิดทางตอนใต้ของรัฐแอริโซนาและรัฐแคลิฟอร์เนีย และตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเม็กซิโก สารประกอบทางเคมีของน้ำมันชนิดนี้แท้จริงคือไม่ใช่ “น้ำมัน” ค่ะ แต่มันคือ “WAX ESTER” หรือสารประกอบอินทรีย์เกิดจากปฏิกิริยาของกรดกับแอลกอฮอล์ ในบรรดาสารสกัดจากธรรมชาติทั้งหมด พืชชนิดนี้จะมีลักษณะคล้ายน้ำมันของผิวมนุษย์เราที่สุด สามารถสรุปออกมาได้คร่าวๆในทางทฤษฎีว่า การทา Jojoba Oil ลงบนผิวจะสามารถ “หลอก” ผิวของเราให้คิดว่ามีน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวเพียงพอแล้วได้แทบจะ 100% จึงส่งผลให้ผิวสร้างสมดุลในการผลิตน้ำมัน

 

Jojoba Oil มีอีกหนึ่งคุณสมบัติที่น่าสนใจมากๆ คือมีสารประกอบโครงการทางเคมี ที่มีคุณสมบัติเหมือน คอลลาเจนชนิดเดียวกับผิวของมนุษย์ จึงทำให้ช่วยขจัดน้ำมันบนใบหน้าและสิวเสี้ยน สามารถนำไปผสมในรีมูฟเวอร์ หรือเช็คเครื่องสำอางบนใบหน้าได้ดีเยี่ยม และยังช่วยลดรอยแผลเป็นให้จางลงได้ แถมยังมีสารกันแดด SPF อยู่ในตัวเอง (แต่ปริมาณไม่ได้มากมายนัก) คุณสมบัติพิเศษที่สำคัญอีกอย่างคือ ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นกับออกซิเจนในอากาศ จึงไม่มีกลิ่นเหม็นหืน ช่วยบำรุงให้ผิวชุ่มชื่น ช่วยโอบอุ้มน้ำใต้ผิวเปรียบเสมือนการสร้างเกราะป้องกันธรรมชาติให้ผิวนั่นเอง

 

Avocado Oil หรือน้ำมันอะโวคาโด แต่เพียงได้อ่านชื่อก็สัมผัสได้ถึงความสุขภาพดีแบบสุดๆ แล้วใช่มั้ยคะ? แต่วันนี้เราจะมาขยายกันแบบชัดๆ ว่า ที่ว่าดี ว่าแน่ มันคืออะไรบ้าง? รู้กันมั๊ยคะว่า น้ำมันอะโวคาโดเป็นน้ำมันธรรมชาติที่สามาซึมเข้าชั้นผิวหนังของเราได้ดีที่สุด! และเร็วที่สุดด้วย โดยปกติจะมีกลิ่นหอมหวานคล้ายถั่ว ประกอบไปด้วยวิตามินที่มีประโยชน์แก่ผิวมากมายทั้ง A, B1 , B2, D, E, B5 ช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื่น ลบรอยตีนกา ปกป้องรังสี UVA และ UVB ฟื้นฟูผิวคล้ำเสียจากแดด  เหงื่อออกมาก และที่เซอร์ไพรส์ที่สุดคือ น้ำมันอะโวคาโดนั้นสามารถทาลงบนผิวของผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินเพื่อบรรเทาอาการจากโรคได้เป็นอย่างดี!

 

น้ำมันอะโวคาโดเหมาะสำหรับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวแห้งและขาดความยืดหยุ่น เพราะน้ำมันอะโวคาโดจะให้ให้ความชุ่มชื่นสูง ช่วยบรรเทาอาการผิวแก่ก่อนวัย ลดจุดด่างดำรอยแผลเป็น ช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น ฟื้นฟูสภาพผิวและเพิ่มคอลลาเจนให้กับผิว นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการระคายเคือง เนื่องจากความร้อน แสงแดด และมลภาวะ หากวันไหนคุณมีโอกาสไปเที่ยวทะเล ให้มาสก์ผิวหน้าด้วยน้ำมันอะโวคาโด จะทำให้ผิวฟื้นฟูกลับสู่ความชุ่มชื่นได้อย่างรวดเร็ว

 

 

ครึ่งทางแล้วค่ะทุกคน! เร็วมากเลยใช่ไหมคะ? ต่อมาเราจะพามารู้จักน้ำมันที่ใครๆ ก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี Olive Oil หรือน้ำมันมะกอกนั่นเองค่ะ! เป็นน้ำมันที่สกัดจากผลมะกอกออลิฟ ซึ่งจริงๆ แล้วคือพืชชนิดนึงตระกูลเดียวกันกับต้นมะลิ ต้องบอกว่าน้ำมันมะกอกนั่นผูกพันกับวิถีชีวิตของเรามาช้านานค่ะ ระดับพันๆ ปี ต้นมะกอกเป็นพืชประจำถิ่นของบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน มนุษย์ยุคหินใหม่อย่างช้าก็ 8,000 ปีก่อนคริสต์ศักราชได้เก็บเกี่ยวผลมะกอกธรรมชาติ เป็นต้นไม้จากอานาโตเลียหรือจากกรีซโบราณ ไม่ชัดเจนว่าต้นมะกอกได้เริ่มปรับเป็นไม้เลี้ยงที่ไหนในอานาโตเลีย ในลิแวนต์หรือที่อื่นในเมโสโปเตเมียซึ่งเป็นส่วนของเขตพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์

 

น้ำมันมะกอกนั้นมีประโยชน์และสายพันธุ์ที่เยอะมากๆ ค่ะ แต่สำหรับผิวพรรณนั้น น้ำมันมะกอกสามารถซึมลงสู่ผิวได้อย่างรวดเร็วและไม่ทิ้งความมันบนผิวทำให้รู้สึกเหนียวหรือรำคาญ การทาผิวด้วยน้ำมันมะกอกเป็นประจำ ช่วยให้ครีมบำรุงผิวซึมลึกสู่ผิวและยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของครีมบำรุงผิวให้ดียิ่งขึ้น เคยมีงานทดลองเผยว่า น้ำมันมะกอกนั้นช่วยลดปัญหาผิวแตกลาย จากการทดลองในผู้หญิงตั้งครรภ์ พบว่าน้ำมันมะกอกช่วยลดระดับการแตกลายของผู้ที่มีผิวแตกลายระดับรุนแรงได้อย่างเห็นผล น้ำมันมะกอกสามารถใช้ทาก่อนนอนได้เลยโดยไม่ต้องทาครีมบำรุง  เพราะมีคุณสมบัติช่วยขจัดสิ่งสกปรก ทำให้ผิวกระจ่างใสชุ่มชื่นและชะลอริ้วรอยแห่งวัย น้ำมันมะกอกเพียงอย่างเดียวมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับครีมบำรุงพื้นฐานกว่า 10 ชนิด!!! บอกแล้วว่าน้ำมันมะกอกถึงชื่อจะคุ้นหู แต่คุณสมบัติคือไม่ธรรมดาจริงๆ 

 

มาต่อกันที่ Grape Seed Oil หรือน้ำมันเมล็ดองุ่นนั่นเองค่ะ โดยพื้นฐานแล้วน้ำมันองุ่นก็คือสารสกัดจากเมล็ดองุ่นที่ผ่านกรรมวิธีที่ปลอดภัย จนกลายมาเป็นน้ำมันจากธรรมชาติที่ถูกนำมาเป็นส่วนผสมของอาหาร หรือแม้แต่นำมาใช้กับอาหารเสริม เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เสริมความงามต่างๆ เช่น สบู่ โลชั่น หรือครีมบำรุงผิว เหตุผลที่เป็นแบบนี้เพราะในน้ำมันเมล็ดองุ่นมีสารไลโคปีน ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ คงความอ่อนเยาว์ ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอยต่างๆ พร้อมทั้งดูแลผิวให้เรียบเนียน 

 

Grape Seed Oil นั้นมีคุณสมบัติอีกอย่างที่รู้กันดีคือเรื่องของพลังแห่งการต่อต้านริ้วรอยและความเหี่ยวย่น จากการวิจัยพบว่าน้ำมันสกัดจากเมล็ดองุ่นนั้น มีสาร OPC เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ มีอนุภาพสูงกว่าวิตามินซี 20 เท่า และสูงกว่าวิตามินอีกว่า 50 เท่า จึงได้รับขนานนามว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง (Super antioxidant) และจากงานวิจัยดังกล่าวพบมาว่าหากใช้น้ำมันเมล็ดองุ่นทาผิวอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยยับยั้งกระบวนการเหี่ยวย่นของผิวหนังได้ ด้วยกรดไลโนเลอิก ในน้ำมันเมล็ดองุ่น ช่วยความแข็งแรงต่อ เยื่อหุ้มเซลล์และเพิ่มคุณภาพต่อผิวของคุณ มันช่วยควบคุมปัญหาหลายชนิดของผิว รวมทั้งสิว ด้วยคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันรูขุมขนอุดตัน การระเบิดของสิวช่วยป้องกันการระบาด การปะทุของสิวและช่วยรักษาสิว อีกทั้งยังช่วยสมานแผละเป็นต่างๆ บนร่างกาย หากใช้ทาอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ผิวกระชับ แข็งแรง โดยเฉพาะคนที่มีผิวมัน 

 

สำคัญที่สุด Grape Seed Oil นั้นสามารถรวมตัวได้ดีกับคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนส่วนประกอบของผิวหนัง ช่วยชะลอความแก่ ลดริ้วรอยบนใบหน้า ลดฝ้า กระ และจุดด่างดำบนผิวหนัง ทั้งนี้ยังช่วยซ่อมแซมฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงนั่นเองค่ะ

 

เดินทางมาถึงตัวสุดท้ายกันแล้วอย่าง Sweet Almond Oil! ในอดีตน้ำมันอัลมอนด์ถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์เพื่อแก้ปัญหาผิวหนังแห้งและรักษาแผลประเภท Hypertrophic scarring (แผลนูน) ด้วยความที่น้ำมันอัลมอนด์ (Sweet almond oil) คือน้ำมันที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุมากมายหลากหลายชนิด เช่น Folic Alpha tocopherol (Vitamin E) Zinc ซึ่งช่วยในเรื่องรักษาอาการผิดปกติของผิวหนัง นอกจากนั้นยังมี Vitamin A B1 B2 B6 D และ Glycoside ซึ่งช่วยฟื้นฟูบำรุงผิวหนัง และยังมีกรดไขมันจำเป็นอย่าง Linoleic (Omega-6) ถึง 30% ช่วยลดการสูญเสียน้ำภายใต้ผิวหนัง และพ่วงด้วยยังมีสารสำคัญในกลุ่ม Sterol อย่าง Beta-sitosterol Phytosterol ช่วยในเรื่องการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบของผิวหนัง แก้ตะคริว และยังมีฤทธิ์ต่อต้านแบคทีเรียและเชื้อราบนผิวหนัง และยังประกอบด้วยสารในกลุ่ม sterol ตัวอื่นๆอย่าง Campesterol Stigmasterol 7-stigmasterol มาช่วยเสริมฤทธิ์

 

Sweet Almond Oil เหมาะสำหรับผิวทุกประเภท ให้ความชุ่มชื่นแก่ผิวทำให้ผิวไม่แห้งหรือระคายเคือง ผิวที่มีปัญหาอักเสบช่วยป้องกัน และฟื้นฟูผิวที่แห้ง กร้าน หยาบกระด้างและลอก ช่วยรักษาบาดแผล ผิวหนังที่เกิดการแพ้ และยังใช้บำรุงบริเวณใต้ตา ลดรอยหมองคล้ำใต้ตา ทำให้เลือดไหลเวียนดี หลักๆ แล้ว Sweet Almond Oil นิยมนำมาผสมกับน้ำมันที่ใช้นวด เพราะอุดมไปด้วยวิตามิน E ช่วยลดริ้วรอย รอยแผลเป็น จุดด่างดำ ทำให้ผิวของคุณกระชับ สวยเปล่งปลั่ง และอ่อนกว่าวัย ใช้ผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผม

 

หากจะสรุปคุณสมบัติเด็ดๆ ของ Sweet Almond Oil เลยก็คือ น้ำมันชนิดนี้มีโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุจำนวนมาก ที่ช่วยในการถนอมผิวและปลอบโยนผิว นอกจากนั้นยังมี ความสามารถในการให้ความชุ่มชื้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากกับผิวหนังที่แห้ง เป็นน้ำมันที่ซึมซับลงผิวหนังได้ง่ายทำให้เรานำไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งในการนวด และใน เครื่องสำอางที่ใช้กับผิวหน้า ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางจึงมีการใช้น้ำมันอัลมอนด์ซึ่งมีประโยชน์รอบตัว เป็นฐานในการผสมเซรั่ม (Serum) และอื่นๆ อีกมากมาย 

เมื่อรู้อย่างนี้แล้วทุกครั้งที่หยิบน้ำมันอะไรมาใส่ผิว ต้องอ่านส่วนผสมของน้ำมันสำหรับผิวให้ละเอียดทุกครั้งนะคะ แต่หากอ่านไม่ไหวแหละก็ ขอแนะนำกดสั่งซื้อ Multipurpose-Oil จากเวอร์น่าได้เลยค่ะ เพราะทุกอย่างเราคัดสรรและคิดมาเพื่อลูกค้าเป็นอย่างดี เพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดในลูกค้าของเรา!